6.1)
การวัดแรงดัน
                เมื่อนำเอาออสซิลโลสโคปไปใช้วัดแรงดัน
วิธีที่ง่ายที่สุดคือ การวัดค่าแรงดันจากยอดถึงยอด (Peak-to-Peak
eP-P) และอาศัยความสัมพันธ์ที่แน่นอน
จะสามารถคำนวณกลับมาเป็นค่าเฉลี่ยหรือค่าประสิทธิผลได้
โดยการป้อนสัญญาณที่ต้องการวัดเข้าที่อินพุตแนวตั้ง และ (ในกรณีนี้) อาศัยโพรบแบบ
10 : 1 โดยการปรับความไว อัตราสวีป
และปุ่มควบคุมการทริกที่เหมาะสม จะเกิดภาพของสัญญาณที่นิ่ง
และควรมีขนาดใหญ่เต็มจอให้มากเท่าที่จะทำได้
ค่าแรงดันจากยอดถึงยอดจะมีค่าเท่ากับผลคูณระหว่างความไวของวงจรขยายตามแนวตั้ง
จำนวนช่องที่อ่านได้จากจอ กับการลดทอนของโพรบสำหรับสัญญาณ ที่แสดงในรูปที่ 15
                VP-P  =   จำนวนช่อง x ความไวตามแนวตั้ง x การลดทอนของสายต่อวัด
                        =   (4.8 DIV) (0.01 V/DIV) (10)
                        =  
0.48  V
                สำหรับคลื่นรูปซายน์
                6.2)
การวัดความถี่
                ในการวัดค่าความถี่โดยการเปรียบเทียบ
ทำได้โดยต่อวงจรดังรูปที่ 16 สัญญาณที่เรารู้ค่าความถี่จะต่อเข้ากับขั้วทางแนวนอน
ขณะที่สัญญาณที่ไม่รู้ค่าความถี่ จะต่อเข้ากับขั้วเข้าทางแนวตั้ง ในการวัด
เราจะบิดปุ่มการกวาดภาพ (time/div) ไปจนตำแหน่ง off เพื่อให้ออสซิลโลสโคปทำงานอยู่ในโหมดของ X-Y (ปรกติจะทำงานในโหมด
X-t)
                เมื่อป้อนสัญญาณเข้าตามรูปที่
16 แล้ว
เราจะได้รูปคลื่นหยุดนิ่งบนจอหลอดภาพ ดังแสดงในรูปที่ 17 (ในกรณีที่รูปคลื่นไม่หยุดนิ่ง
แสดงวัดสัดส่วนความถี่ของสัญญาณไม่ได้เป็นไปตามรูป เราอาจต้องปรับค่าความถี่รู้ค่า
จนได้สัดส่วนตามต้องการ รูปคลื่นก็จะหยุดนิ่ง) เมื่อรูปคลื่นหยุดนิ่ง
เราสามารถหาความถี่ของสัญญาณแนวตั้งจากสูตร
                                                fv             =             (th/tv)fh
ทั้งนี้       fv คือ
ความถี่ป้อนเข้าทางแกนตั้ง
                Fh คือ
ความถี่ป้อนเข้าทางแกนนอน
                tn คือ จำนวนครั้งที่รูปสัมผัสแกนนอน
                tv คือ
จำนวนครั้งที่รูปสัมผัสกับแกนตั้ง
                 6.3) การวัดเฟส
                ก)
แบบใช้ออสซิลโลสโคปแบบกวาด 2 เส้น
                รูปที่
18 แสดงการต่อวงจร
เพื่อวัดเฟสที่เกิดขึ้นจากวงจรขยายในรูป
                รูปคลื่นที่ปรากฏบนจอหลอดภาพ
CRT จะเป็นดังรูปที่ 19 จากรูปคลื่นสัญญาณที่ได้ เราจะสามารถนำไปคำนวณหาค่าเฟสที่เกิดขึ้นได้
                ในรูปที่
8.27 (ก) เป็นการปรับ time/div เพื่อให้สามารถวัดค่าคาบของรูปคลื่นได้
ขณะเดียวกันถ้าต้องการวัดความแตกต่างของเวลา (Td) ระหว่างลูกคลื่น จำเป็นต้องปรับ time/div ให้ย่อยขึ้น
เพื่อให้อ่านค่าได้ จากค่าที่อ่านบนจอหลอดภาพ จะสามารถนำไปคำนวณหาเฟสได้ดังนี้
                                เฟสที่เกิด
(องศา)  =  Td/ T x 360o
แต่ period
(T) หาได้ดังนี้
                T             =        (4.2 div.) (1 ms/div.)          =   
4.2   x   10-3 s
                Td            =        (2.2 div.) (100 us/div.)       =   
220  x   10-6 s
                ค่าเฟส     =        Td/T   x  
360o    =    18.86 
องศา
                ข) โดยใช้  Lissajous Patterns
                การวัดเฟสโดยอาศัย Lissajous Patterns ต่ออุปกรณ์วัดดังวงจรในรูปที่
20
                ในการวัดเช่นนี้
ปุ่ม time/div จะปรับไปอยู่ที่ตำแหน่ง off
เพื่อให้ออสซิลโลสโคปทำงานในโหมด X-Y รูปทรงที่ปรากฏบนจอหลอด
CRT จะใช้ในการคำนวณหาค่าความต่างเฟส ทั้งนี้
เฟสที่สามารถคำนวณจากสูตร (ดูรูปที่ 21 ประกอบ)
                                                เฟส        =        sin-1(A/B)
                โดยที่ A คือ ระยะที่รูปทรงตัดแกน x
                          B คือ ความสูง(ในแนวแกน x)
ของรูปทรง
                แม้ว่าเราจะสามารถทดสอบวงจรขยายสัญญาณ
โดยการป้อนสัญญาณไฟสลับที่แปรขนาดและความถี่เพื่อหาค่าเฟส อัตราการขยาย
และการตอบสนองต่อความถี่ เป็นต้น แต่วิธีนี้จะใช้เวลานาน น่าเบื่อ
และไม่ได้ผลในการกำหนดคุณสมบัติประจำต่อ Transient ของวงจรขยาย การทดสอบโดยใช้สแควร์เวฟ จะเป็นการวัดความเป็นเชิงเส้น (Linearity)
Transient และลักษณะจำเพาะด้านความถี่ของวงจรขยายอย่างได้ผล
การทดสอบโดยวิธีนี้จะใช้อย่างกว้างขวางในการทดสอบวงจรขยายย่านความถี่ต่ำและปานกลาง
                โดยใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์
(การวิเคราะห์แบบ Fourier) จะแสดงให้เห็นว่า
สแควร์เวฟที่มีความถี่ในการเกิดพัลส์ซ้ำ (Pulse Repetition Frequency, PRF)
เท่ากับ fs จะประกอบด้วย
สัญญาณรูปซายน์ ซึ่งมีความถี่ fs (ฟันดาเมนทัล)
และฮาร์โมนิกคี่ (Odd Harmonics) จำนวนอนันต์
                ถ้าสแควร์เวฟ
มีขนาด Ep และความถี่ในการเกิดพัลส์ซ้ำ
fs โดยการใช้การวิเคราะห์แบบ Fourier จะสามารถแทนสแควร์เวฟในรูป
                Ep/
 
 
  
  
  
  
  
  
  
  
  
  
  
  
              
 
 
    
 
  {sin2
 
  fst + (1/3)sin[(3) (2
 
  fst)] + (1/5)sin[(5) (2
 
  fst)] + ….}
                ตามรูปที่ 23 จะแสดงถึงสแควร์เวฟที่เกิดขึ้น
โดยการรวมสัญญาณที่เป็นฟันดาเมนทัลและฮาร์โมนิกที่ 3, 5, 7 และ 9
ดังนั้นการที่ป้อนสแควร์เวฟเข้าสู่วงจรขยายอาจพิจารณาได้ว่า
เหมือนกับการป้อนคลื่นรูปซายน์จำนวนอนันต์เข้าไปพร้อมๆ กัน
                นอกจากนี้
เรายังอาจประมาณค่าผลตอบสนองเชิงความถี่ของวงจรขยาย โดยการวัดค่า rise time และค่าความเอียง (tilt)
ของรูปคลื่นสแควร์ด้านออก ดังแสดงในรูปที่ 26
จากรูปที่ 26 เราสามารถประมาณค่า การตอบสนองย่านความถี่สูงของวงจรของวงจรขยายได้จากสูตร
                                fhigh   =  
0.35/tr
โดย  
     fhigh(=
bandwidth) มีค่าเป็น เมกะเฮิรตซ์
                tr  (rise time) มีค่าเป็น microsecond
                ในทำนองเดียวกัน ความเอียงจะช่วยในการประมาณค่าการตอบสนองย่านความถี่ต่ำ
จากสูตร
                                fL      =   
Pfs/100
โดยที่      P   =   
(Ed/Ep) 
x  100 เรียกว่า
เปอร์เซ็นต์ความเอียง (tilt)
                fs   =   
pulse repetition frequency ของรูปคลื่นสแควร์
                   6.5) การทดสอบโดยใช้พัลซ์ (pulse)
                พัลซ์มักใช้ในการทดสอบวงจรขยายในย่านความถี่สูง
และในวงจรสวิทชิ่งแบบดิจิตัล ช่วงมีสัญญาณ(duration) ของพัลซ์ควรจะสั้นเมื่อเทียบกับช่วงคาบ
(period) ของมัน รูปที่ 27
เป็นตัวอย่างรูปคลื่นพัลซ์ที่พบกันโดยทั่วไป
                รูปที่ 28
แสดงการต่อวงจรเพื่อทำการทดสอบโดยใช้พัลซ์ ออสซิลโลสโคปจะใช้สัญญาณทริกเกอร์จากภายนอก
(จากตัวกำเนิดสัญญาณพัลซ์)
และปุ่มปรับความไวแนวตั้งกับตัวควบคุมความเร็วในการปรับภาพต้องปรับตั้งอย่างเหมาะสมเพื่อให้รูปคลื่นขาออก
หยุดนิ่งบนจอหลอดภาพ
                สำหรับค่าพารามิเตอร์ที่สำคัญสำหรับสัญญาณพัลซ์ในรูปที่
27 นั้นได้แก่
                PRE               
=     1/T
และ        duty cycle        =                 pulse width/T
                                         =    
(pulse width) x PRF
                สำหรับการวัดหาค่า rise
time ของวงจรเราสามารถคำนวณหาได้จากสูตรต่อไปนี้
                                                t2r(dev)   =   t2r(meas)
-  t2r(scope) -  t2r(PG)
โดยที่
    tr(dev)
  =  
ค่า rise time ของวงจรซึ่งทำการทดสอบ
tr(meas) =  
ค่า rise time เบ็ดเสร็จ (รวมค่า rise time ของออสซิลโลสโคป และของสัญญาณเอง)
ซึ่งคือค่า rise time ที่วัดหาได้บนจอภาพ CRT
นั่นเอง
tr(scope)                =   rise time ของออสซิลโลสโคป
tr(PG)    =  
rise time ของตัวกำเนิดสัญญาณพัลซ์












 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น