ออสซิลโลสโคปมักแสดงรูปคลื่นขาเข้าบนจอภาพ
CRT โดยเป็นฟังก์ชั่นของเวลา
ดังนั้นจึงต้องมีแรงดันเบี่ยงเบนแนวนอนที่สามารถกวาดจุดเรืองแสงบนจอภาพให้เคลื่อนที่จากด้านซ้ายไปทางขวาของจอ
โดยมีความเร็วคงที่ กับทั้งต้องสามารถกวาดกลับมายังจุดเริ่มต้นทางด้านซ้ายของจอภาพ
เพื่อเตรียมการกวาดภาพต่อไปได้ แรงดันกวาดหรือฐานเวลานี้จะเกิดขึ้นจากวงจรกำเนิดสัญญาณกวาดภาพ
ภายในระบบเบี่ยงเบนแนวนอนของออสซิลโลสโคป
รูปที่
9 แสดงแรงดันกวาดภาพที่ควรจะเป็น
ค่าแรงดันดังกล่าวจะค่อยๆ เพิ่มจากค่าต่ำสุดจนถึงค่าแรงดันสูงสุดค่าหนึ่ง
แล้วแรงดันก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ลงสู่ค่าแรงดันต่ำสุดใหม่
รูปคลื่นนี้จะมีลักษณะเป็นรูปคลื่นฟันเลื่อย ดังแสดงในรูป ช่วงที่แรงดันค่อยๆ
เพิ่มขึ้นเราเรียกว่า แรงดันลาด (ramp voltage) ในช่วงเวลานี้
(TS) จุดเรืองแสงบนจอภาพจะถูกกวาดจากด้านซ้ายของภาพไปทางขวาของจอภาพ
ในช่วงเวลากวาดกลับ (Tr) แรงดันกวาดภาพจะลดลงอย่างรวดเร็ว
และจุดเรืองแสงจะเคลื่อนกลับมาสู่จุดเริ่มต้นเดิมอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม
ในออสซิลโลสโคปที่ใช้ทั่วไป ลำอิเล็กตรอนถูกตัด (cut off)
ในช่วงเวลากวาดกลับทั้งนี้เพื่อจะให้ไม่มีร่องรอยตอนกวาดกลับปรากฏบนจอภาพ
รูปที่
10 แสดงวงจรกำเนิดสัญญาณฟันเลื่อยที่สามารถใช้งานได้
เมื่อป้อนแรงดันให้กับวงจร ตัวเก็บประจุ C จะเริ่มเก็บประจุโดยผ่านความต้านทาน
R ทำให้แรงดันอิมิตเตอร์ของ UJT ค่อยๆ
เพิ่มสูงขึ้น เมื่อค่าแรงดันอิมิตเตอร์ (VE) เพิ่มสูงเท่าแรงดันยอด
(VP) ของ UJT รอยต่อระหว่างอิมิตเตอร์กับขาของเบส
B1 จะทำไฟฟ้า
ทำให้ตัวเก็บประจุสามารถคายประจุผ่านรอยต่อนี้ไปยัง R1 ไหลลงกราวด์ได้ ดังนั้น แรงดัน VE จึงลดลงอย่างรวดเร็วจนกระทั่งรอยต่ออิมิตเตอร์กับขาของเบส
B1 ไม่สามารถนำกระแสต่อไปได้
จากจุดนี้ตัวเก็บประจุก็จะเริ่มเก็บประจุใหม่
ลักษณะการเก็บและคายประจุเช่นนี้จะเกิดซ้ำกันเป็นจังหวะ
และให้กำเนิดสัญญาณรูปคลื่นฟันเลื่อย ดังรูปที่ 10 (ข)
เพื่อช่วยปรับปรุงการกวาดภาพให้มีลักษณะเชิงเส้นมากขึ้น
อาจต้องดัดแปลงการไบแอสวงจรในรูปที่ 10 โดยใช้ต้นแหล่งต่างกัน กล่าวคือ ใช้ตัวป้อนแรงดันต่ำสำหรับตัว UJT และตัวป้อนแรงดันสูงสำหรับส่วนวงจร RC
ความถี่ของสัญญาณฐานเวลาอาจแปรเปลี่ยนได้โดยการปรับค่าของ
R และ/หรือค่า C (คือเปลี่ยนค่าคงตัวเวลา
RC) ในทางปฏิบัติสำหรับวงจรกวาดภาพของออสซิลโลสโคป
ความต้านทาน R จะใช้ในการควบคุมและแปรค่าความถี่อย่างต่อเนื่อง
(ตัวควบคุมแปรค่าได้หรือปุ่ม VARIABLE) ส่วนตัวเก็บประจุ C จะใช้เพื่อเปลี่ยนช่วงความถี่ (โดยใช้ปุ่มควบคุมเวลาต่อช่อง TIME/DIV)
5.1) การประสานจังหวะการกวาดภาพ (synchronization
of the sweep)
ตัวกำเนิดสัญญาณฟันเลื่อยในรูปที่ 10
มีลักษณะแบบกวาดอิสระ (free running) ทั้งนี้เพราะไม่มีกลไกควบคุมจากภายนอก
สำหรับกระตุ้นให้มีการเริ่มการกวาดภาพไซเกิ้ลใหม่ วงจรดังรูปจะให้สัญญาณกวาดภาพ ที่เริ่มกวาดภาพทันทีที่ตัวเก็บประจุได้คายประจุออก
จน UJT เปลี่ยนสภาพเป็นไม่นำกระแส
สัญญาณกวาดภาพอิสระเช่นนี้อาจช่วยให้เกิดภาพที่มีเสถียรภาพบนหลอดภาพ CRT ได้
ทั้งนี้ความถี่ของสัญญาณเข้าแนวตั้งจะต้องสัมพันธ์กับความถี่สัญญาณกวาดภาพดังนี้
fv = nfs ----------- (A)
โดยที่ fv คือ
ความถี่สัญญาณเข้าแนวตั้ง
n คือ
ค่าเลขจำนวนเต็มใดๆ (1,2,3,…)
fs
คือ ความถี่สัญญาณกวาดภาพ
รูปที่ 11 แสดงเงื่อนไขดังกล่าวนี้ กล่าวคือ fv = 2fs ในกรณีเช่นนี้ภาพที่เกิดบนหลอดภาพ
จะหยุดนิ่ง มีเสถียรภาพ แต่ถ้าเงื่อนไขตามสมการ (A)
ไม่เป็นจริง ภาพที่เกิดบนหลอดภาพจะไม่เสถียรและจะค่อยๆ
เลื่อนจากทางซ้ายไปทางขวาของจอภาพ เพื่อจะให้ได้ภาพที่หยุดนิ่ง
ตัวกำเนิดสัญญาณกวาดภาพจะต้องทำงานเป็นจังหวะประสาน (synchronously) กับแหล่งสัญญาณเข้าแนวตั้ง
ในวงจรรูปที่
10 (ก)
เราสามารถประสานจังหวะการกวาดภาพได้โดยการป้อนสัญญาณซิงค์(Sync signal) เข้าที่ขั้วเข้าสัญญาณซิงค์ (Sync input) (ดูรูปประกอบ)
สัญญาณซิงค์ที่ป้อนเข้ามุ่งที่จะลดค่าแรงดันยอด (peak voltage หรือ VP) ของ UJT ลง
ซึ่งยังผลให้ค่าแรงดันลาดขึ้น (run up ramp) หยุดลงเร็วกว่าปกติ
(ดูรูปที่ 12 ประกอบ) ในรูปที่ 12
เราจะเห็นได้ว่า
รูปคลื่นฟันปลาจะถูกควบคุมให้มีจังหวะความถี่สอดคล้องกันกับสัญญาณซิงค์ที่ป้อนเข้ามา
ในกรณีการประสานจังหวะจะทำได้ เฉพาะ เมื่อช่วงเวลา (T) ของสัญญาณซิงค์สั้นกว่าช่วงเวลา
(To) ของรูปคลื่นฟันปลา
5.2)
การกระตุ้นให้กวาดภาพ
ออสซิลโลสโคปที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน มักใช้หลักการของการกระตุ้นให้กวาดภาพ รูปที่ 13 (ก) แสดงการดัดแปลงวงจรกำเนิดสัญญาณฟันเลื่อยจากวงจรรูปที่ 13 สำหรับเป็นวงจรกวาดภาพ โดยการกระตุ้นตัวต้านทาน R3 และ R4 ทำหน้าที่เป็นตัวแบ่งแรงดัน โดยค่า R3, R4 จะเลือกเพื่อว่าค่า VD ซึ่งต่อกับคาโธดของได้โอดจะมีแรงดันต่ำกว่าแรงดันยอด (VP) ของ UJT เมื่อวงจรนี้เริ่มทำงาน UJT จะอยู่ในสภาพไม่นำไฟฟ้า CT ในวงจรจะทำการเก็บประจุโดยผ่านความต้านทาน RT ค่าแรงดันคร่อม CT จะสูงขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งมีค่าสูงกว่า VD เมื่อถึงจุดนี้ไดโอดจะเริ่มนำกระแส ทำให้ค่าแรงดันคร่อม CT ไม่สามารถเพิ่มสูงเกินกว่า VD แต่จะถูกตรึงให้มีค่าเท่ากับ VD นอกจากนั้น CT ยังไม่สามารถคายประจุออกได้ด้วย ถ้าหากมีพัลซ์ทริกเกอร์ค่าลบขนาดใหญ่เพียงพอ ป้อนให้กับขาเบสที่ 2 ของ UJT จะยังผลให้แรงดันยอด VP ของ UJT ลดลงกะทันหันชั่วขณะหนึ่ง UJT จะนำกระแสซึ่งทำให้ CT สามารถคายประจุผ่านตัว UJT ได้จนกระทั่ง UJT เปลี่ยนสภาพไม่นำกระแส ต่อจากนั้น CT ก็จะเริ่มเก็บประจุใหม่ และมีแรงดันคงที่อยู่ที่ค่า VD จนกว่าจะมีสัญญาณกระตุ้นต่อ รูปที่ 13 (ข) แสดงรูปคลื่นออกของตัวกำเนิดแรงดันกวาดภาพแบบมีการกระตุ้น
ออสซิลโลสโคปที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน มักใช้หลักการของการกระตุ้นให้กวาดภาพ รูปที่ 13 (ก) แสดงการดัดแปลงวงจรกำเนิดสัญญาณฟันเลื่อยจากวงจรรูปที่ 13 สำหรับเป็นวงจรกวาดภาพ โดยการกระตุ้นตัวต้านทาน R3 และ R4 ทำหน้าที่เป็นตัวแบ่งแรงดัน โดยค่า R3, R4 จะเลือกเพื่อว่าค่า VD ซึ่งต่อกับคาโธดของได้โอดจะมีแรงดันต่ำกว่าแรงดันยอด (VP) ของ UJT เมื่อวงจรนี้เริ่มทำงาน UJT จะอยู่ในสภาพไม่นำไฟฟ้า CT ในวงจรจะทำการเก็บประจุโดยผ่านความต้านทาน RT ค่าแรงดันคร่อม CT จะสูงขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งมีค่าสูงกว่า VD เมื่อถึงจุดนี้ไดโอดจะเริ่มนำกระแส ทำให้ค่าแรงดันคร่อม CT ไม่สามารถเพิ่มสูงเกินกว่า VD แต่จะถูกตรึงให้มีค่าเท่ากับ VD นอกจากนั้น CT ยังไม่สามารถคายประจุออกได้ด้วย ถ้าหากมีพัลซ์ทริกเกอร์ค่าลบขนาดใหญ่เพียงพอ ป้อนให้กับขาเบสที่ 2 ของ UJT จะยังผลให้แรงดันยอด VP ของ UJT ลดลงกะทันหันชั่วขณะหนึ่ง UJT จะนำกระแสซึ่งทำให้ CT สามารถคายประจุผ่านตัว UJT ได้จนกระทั่ง UJT เปลี่ยนสภาพไม่นำกระแส ต่อจากนั้น CT ก็จะเริ่มเก็บประจุใหม่ และมีแรงดันคงที่อยู่ที่ค่า VD จนกว่าจะมีสัญญาณกระตุ้นต่อ รูปที่ 13 (ข) แสดงรูปคลื่นออกของตัวกำเนิดแรงดันกวาดภาพแบบมีการกระตุ้น
5.3) วงจรขยายแนวนอน
ในออสซิลโลสโคปที่ใช้กันทั่วไป
ข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสมรรถนะของวงจรขยายแนวนอน มักจะไม่สูงเท่ากรณีของวงจรขยายแนวตั้ง
ในกรณีวงจรขยายแนวตั้ง วงจรที่ใช้ต้องสามารถขยายสัญญาณขนาดเล็กและมีช่วง risetime สั้นมากๆ
ขณะที่วงจรแนวนอนทำหน้าที่ขยายสัญญาณกวาดภาพที่มีขนาดใหญ่กว่ากับทั้งมีค่า risetime
ช้ากว่ากันมาก อย่างไรก็ตาม
อัตราขยายของวงจรขยายแนวนอนต้องมีขนาดใหญ่กว่าวงจรขยายแนวตั้ง
ทั้งนี้เพราะความไวการเบี่ยงเบนแนวนอนของหลอด CRT จะดีสู้ความไวในการเบี่ยงเบนอแนวตั้งไม่ได้
รูปที่
14 แสดงบล็อกไดอะแกรมของวงจรขยายแนวนอนซึ่งใช้กันทั่วไป ภาคขยายแนวนอนจะประกอบด้วย
วงจรขยายสัญญาณเข้า วงจรขยายพาราเฟส (paraphase amplifier) และวงจรขยายพุช-พูลสัญญาณเข้าจากตัวกำเนิดสัญญาณกวาดภาพ
มักเป็นสัญญาณฐานเวลาลาดขึ้น มีค่ายอด 10 โวลต์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น